Cute Deer Hearts

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 7 วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 6
วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
(School Administration in Early Childhood) กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ผู้สอน ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วันที่  22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สอบกลางภาค

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 6 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 6
วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
(School Administration in Early Childhood) กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ผู้สอน ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560



นำเสนอคำคม

เลขที่ 10 นางสาวนิศากร  อ่อนประทุม






เลขที่ 10 นางสาวกฤษณี    แก้วแกมทอง





โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงาน
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย


 การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
7. ความต้องการของชุมชน

  การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

         1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
               1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
               2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
               3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่







          2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
                 (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
                 1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
                 2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
                 3.รูปแบบตามอัธยาศัย

         3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
                  คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”




  หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

        1. การบริหารงานวิชาการ
              เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด

        2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
              คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ
 
        3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
              - งานธุรการในสถานศึกษา
              - งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
              - งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
              - งานทะเบียนและรายงาน
              - งานรักษาความปลอดภัย
              - งานการเงินและพัสดุ
              - งานพัสดุ

        4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย  
              คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง

        5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
              - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
              - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์

  การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป

        ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน  (School Based Management)

             คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด

 หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management)
        • หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
        • หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
        • หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน( Return Power to People)
        • หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
        • หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)

 รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน
        • ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก(Administrative Control School Council )
        • บริหารโดยครูเป็นหลัก(Professional Control Council)
        • การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท(Community Control School Council)
        • ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก (Professional Community Control School Council)

สรุปการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ( School-Based Management )
          การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management)เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบเบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง     

  องค์กรแห่งการเรียนรู้
          ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )
การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
         • รูปแบบของความคิด (Mental Models)
         • วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
         • การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
         • การคิดเชิงระบบ (System Thinking)




การบริหารแบบมีส่วนร่วม
        สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
        • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
        • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ

ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
        • สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
        • ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
        • การบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • ผลงานที่เกิดขึ้น
        • สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
        • ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
        • ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
        • การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
        • ใช้งบประมาณมาก
        • ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
        • การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน


วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 5 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 5
วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
(School Administration in Early Childhood) กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ผู้สอน ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560





ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากเข้าอบรม
โครงการอบรมให้ความรู้และประกวดมารยาททางวัฒนธรรม
ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารนวัตกรรมการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฎจัทรเกษม



วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 4 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 4
วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย
(School Administration in Early Childhood) กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ผู้สอน ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560



นางสาววีรดา ตรีมิ่งมิตร เลขที่ 4 




นางสาวภูษณิศา กาบเครือ เลขที่ 7



 นางสาวภณิชชา กาบเครือ เลขที่ 8




นางสาวธนทร ศรีหินกอง เลขที่ 9


นำเสนองานกลุ่ม เรื่อง ประเภทของสถานศึกษาปฐมวัย



กลุ่มที่ 1 โรงเรียนอนุบาล

              


              โรงเรียนอนุบาล  คือ Kindergarten แปลตรงตัวว่า “Children’s garden” หรือ “สวนเด็ก” อนุบาลเป็นสถานศึกษาก่อนวัยเรียน (Pre-school) สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ขวบ ผู้ประดิษฐ์คำว่า “Kindergarten” คือ Friedrich Fröbel เพื่อเป็นสถานการเล่นและกิจกรรม ซึ่งเขาก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2380 ในหมู่บ้าน Bad Blankenburg ประเทศเยอรมนี   เพื่อเรียนรู้การสื่อสาร เล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม โดยครูทำหน้าที่สร้างสื่อ (Materials) และกิจกรรมต่างๆ เพื่อจูงใจให้เด็กๆ เหล่านี้เรียนรู้ภาษาและศัพท์ของการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ รวมทั้งดนตรี ศิลปะ และพฤติกรรมทางสังคม 


ตัวอย่างโรงเรียนอนุบาล









กลุ่มที่ 2 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา



  • ศาสนาอิสลาม  

  1.  ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ มัสยิดอัลกอบาตีน บ้านคลองเตาะ
  2. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ ประจำ มัสยิดยามิอุ้ลคอยรอต
          เพื่อเตรียมตัวเด็กในการที่จะเข้าศึกษาต่อในระบบโรงเรียน เน้นความพร้อมในการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้น ช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง และเพื่อเป็นสวัสดิการพื้นฐานในเรื่องการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย


  • ศาสนาพุทธ


  1. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ วัดขวัญมงคล บ้านจันทัย ตำบลวาริน อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ก่อตั้งโดย มูลนิธิพระครูธรรมสมาจารย์ (พัก ธมฺมทตฺโต) เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมแก่เด็กตั้งแต่ปฐมวัย และอนุเคราะห์เด็กในชุมชนรอบวัดขวัญมงคลได้มีโอกาสเข้าศึกษาในระดับปฐมวัย
  2. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดศรีบุญเรือง ก่อตั้งโดย พระครูศรีปริยัติคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมแก่เด็กตั้งแต่ปฐมวัย และอนุเคราะห์เด็กในชุมชนรอบวัดศรีบุญเรืองได้มีโอกาสเข้าศึกษาในระดับปฐมวัย


  • ศาสนาคริสต์


  1. สถานรับเลี้ยงเด็กคริสตจักรวัฒนา ภายใต้การกำกับของคริสตจักรวัฒนา  รับเด็กอายุ 1-3 ปี และรับดูแลหลังเลิกเรียนเด็กอนุบาลถึงประถม มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมเด็ก ให้มีพัฒนาการที่ดีตามวัย เพื่อให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออกและมีความเชื่อมั่นในตนเอง ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมแบบคริสเตียนเพื่อสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
  2. สถานรับเลี้ยงเด็กคริสตจักรไมตรีจิต บางพลี  รับเด็กอายุ 2-6 ปี




กลุ่มที่ 3 เนอร์สเซอรี่





            เนอร์สเซอรี่ เป็นคำทับศัพท์มาจากคำภาษาอังกฤษว่า NURSERY สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้หลายแบบ เช่น เนอร์สเซอรี่   เนอสเซอรี่   เนิสเซอรี่  ซึ่งคำว่า NURSERY ในภาษาอังกฤษมีความหมายหนึ่งว่า Baby’s Room (ห้องเลี้ยงเด็ก)   แต่เรานำมาใช้กับ สถานที่รับเลี้ยงดูเด็กเล็กก่อนวัยอนุบาล ซึ่งเราสามารถเรียกว่าเป็น “สถานรับเลี้ยงเด็ก”  โดยส่วนใหญ่จะรับเลี้ยงดูเด็กเล็กอายุแรกเกิดถึง 3 ขวบ แต่บางแห่งอาจรับเฉพาะในระดับ 2-3 ขวบ คือระดับ “เตรียมอนุบาล” 
             เนอร์สเซอรี่บางแห่งอาจมีกิจกรรมการเรียนการสอนในลักษณะ   NURSERY SCHOOL   คือไม่ได้ดูแลเฉพาะให้กิน-นอน-เล่นเท่านั้น แต่จะมีกิจกรรมการเรียนการสอน  ซึ่งเนื้อหาเหมาะกับวัยเตรียมอนุบาล 

ตัวอย่าง เนอร์สเซอรี่








กลุ่มที่ 4 ศูนย์เลี้ยงเด็ก




กลุ่มที่ 5 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน



               ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน หมายความว่า สถานที่รับเลี้ยงเด็กและดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน และดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการชุมชน
เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี
             
               ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่จัดตั้งขึ้นในชุมชนได้ดำเนินการภายใต้ภาวะข้อจำกัดหลายประการ เช่น งบประมาณ สถานที่คับแคบ อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กขาดความรู้ความเข้าใจในการอบรมดูแลเด็ก แม้จะพบว่า มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดำเนินงานก็ตาม กรุงเทพมหานครก็มิได้นิ่งนอนใจ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา
               
               ดังนั้นศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนจึงเป็นสถานที่รับเลี้ยงและดูแลเด็กในชุมชนด้วยความคิดริเริ่มและความพร้อมของประชาชนในชุมชนนั้นๆ ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการชุมชนโดยมีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กเป็นกลไกสำคัญที่จะนำบริการทางสังคมไปสู่การพัฒนาเด็กตามหลักวิธีการทางจิตวิทยา เพื่อเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนจักได้รับการพัฒนาตามควรแก่วัยและมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การศึกษาในระบบโรงเรียนต่อไป      
                     
ตัวอย่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน











กลุ่มที่ 6 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก





               ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นสถานศึกษาที่ให้การอบรมเลี้ยงดู จัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ให้เด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 5 ปี ให้มีความพร้อม ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ดำเนินการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันอยู่ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) ดำเนินการในวัด/มัสยิด และสำนักงาน คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ดำเนินการในโรงเรียน โดยเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ส่วนราชการต่าง ๆ ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นเอง ถือว่าเป็นสถานศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 18 และมาตรา 4 ปัจจุบันทั่วประเทศมีอยู่ประมาณกว่า 19,000 แห่ง                                                              

               บทบาทหน้าที่ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  คือ การให้บริการ การอบรมเลี้ยงดู การจัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นสถานศึกษาที่ให้การอบรมเลี้ยงดูจัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนา ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมตามวัยตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน ดังนั้น ระยะเวลาการจัดการเรียนรู้และแนวทางการจัดการเรียนรู้ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมเพื่อให้เด็กเล็กได้รับการศึกษาและพัฒนาเป็นไปตามวัยแต่ละช่วงอายุ สอดคล้องกับสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ให้เด็กเล็กพร้อมที่จะเข้ารับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ตาม ระยะเวลาเรียนรู้ในรอบปีการศึกษาโดยให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเปิดภาคเรียนรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 230 วัน โดยมีการให้บริการต่าง ๆ ดังนี้

             1. การให้บริการส่งเสริมสนับสนุนเด็กเล็ก ได้แก่  อาหารกลางวัน  อาหารว่าง เครื่องนอนอาหารเสริม (นม) วัสดุ สื่อ อุปกรณ์การศึกษา และวัสดุครุภัณฑ์ การตรวจสุขภาพเด็กเล็กประจำปี โดยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข  บริการอื่น ๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความพร้อม เช่น เป็นศูนย์ 3 วัยและหรือศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เป็นต้น

             2 การให้บริการอบรมเลี้ยงดู จัดประสบการณ์ และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กเล็ก อายุ 2-5 ปี ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือใกล้เคียงได้ตามศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

             3. จัดประสบการณ์ และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ ให้เด็กเล็กมีการพัฒนาการครบทั้ง 4 ด้าน คือด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ให้เหมาะสมตามวัย ศักยภาพของเด็กแต่ละคน ตามมาตรฐานการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร

             4. กรณีจำเป็นต้องใช้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อประชุม สัมมนา ฝึกอบรม จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร หรือกิจกรรมอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อราชการและชุมชน หรือเหตุจำเป็นอื่นที่ไม่อาจเปิดเรียนได้ตามปกติ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สั่งปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ไม่เกิน 15 วัน หากเป็นเหตุพิเศษที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติสาธารณะ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สั่งปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ไม่เกิน 30 วัน โดยให้ทำคำสั่งปิดเป็นหนังสือ และต้องกำหนดการเรียนชดเชยให้ครบตามจำนวนวันที่สั่งปิด

             5. ในระหว่างปิดภาคเรียน หรือปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตามข้อ 1.4.5 ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีคำสั่งให้หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้ดูแลเด็ก ผู้ช่วยครู ผู้ดูแลเด็ก หรือพนักงานจ้างอื่นในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมาปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเตรียมการด้านวิชาการ หลักสูตร การจัดการเรียนรู้แก่เด็กเล็ก สื่อ นวัตกรรม วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ การจัดสภาพแวดล้อม หรือการพัฒนาศูนย์ในด้านต่าง ๆ หรืองานด้านการศึกษาปฐมวัยอื่น

             การกำหนดอัตราบุคลากรในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 อัตรา มีอัตราครูผู้ดูแลเด็กเป็นไปตามสัดส่วน (ครู:นักเรียน) 1:20 หากมีเศษตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ให้เพิ่มครูผู้ดูแลเด็กได้อีก 1 คน โดยจัดการศึกษาห้องละ 20 คน  สำหรับอัตราผู้ช่วยครูผู้ดูแลเด็ก และตำแหน่งอื่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดให้มีได้ตามจำนวนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ภารกิจในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

             การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยเน้นที่การเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก การให้ความรักความอบอุ่น ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี ให้เกิดวุฒิภาวะทางกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยให้โอกาสทั้งเด็กปกติ เด็กด้อยโอกาส และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ หลักสูตรการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ครอบคลุม ด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ดังนี้ (กรมวิชาการ 2546)

1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยที่ดี

2. กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพันธ์กัน

3. มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข

4. มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม

5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว รักการออกกำลังกาย

6. ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย

7. รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย

8. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมี

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

9. ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย

10. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาเหมาะสมกับวัย

11. มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

12. มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีทักษะในการแสวงหาความรู้



ตัวอย่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก










กลุ่มที่ 7 โรงเรียนเตรียมประถม


                 โรงเรียนเตรียมประถม คือ เด็กที่มีสิทธิ์เริ่มเข้าชั้นเตรียมประถม เมื่อมีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ชั้นเตรียมประถม เป็นการศึกษาอีกประเภทหนึ่ง ที่นำกิจกรรมสร้างสรรค์ และการเล่นเพื่อการเรียนรู้มาใช้เป็นส่วนใหญ่

                  ลักษณะโรงเรียนเตรียมประถม เป็นการศึกษาเชื่อมต่อจากชั้นอนุบาลไปสู่การศึกษาภาคบังคับหรือขั้นพื้นฐาน โดยจะผสมผสานรูปแบบการดำเนินงานและวิธีการ ระหว่างโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนขั้นพื้นฐานเข้าด้วยกัน



ตัวอย่างโรงเรียนเตรียมประถม










กลุ่มที่ 8 สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย





























บันทึกการเรียน ครั้งที่ 14 วันที่26 เมษายน พ.ศ.2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 14 วิชา การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย ( School Administration in Early Childhood)  กลุ่มเรียน 102 อาจา...